ประตู.........สุดท้ายของชีวิต
ฟังแค่ชื่อก็น่าขนลุกแล้วววว. แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสถานที่นี้มีจริง ในสมัยรัชกาลที่1 ศูนย์รวมของคนจะอยู่ในเขตกำแพงเมือง ภายนอกกำแพงจะเป็นทุ่งนาและทำการเกษตร และในสมัยนั้นมีการถือทำเนียมกันว่าหากมีการเสียชีวิตของคนธรรมดาต้องขนเอาศพออกทางประตูผีเท่านั้น โดยใช้ประตูทางทิศตะวันออกของเมือง ซึ่งก็คือแยกสำราญราษฎร์ในปัจจุบัน
ในสมัยรัชกาลที่2โรคอหิวาตกโรคหรือโรคห่า มีการระบาดและมีผู้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ในตอนนั้นยังไม่รู้วิธีป้องกันและรักษา พระราชสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชการที่2จึงโปรดให้ตั้งพิธีขับไล่เรียกว่า "พิธีอาพาธพินาศ" โดยมีการยิงปืนใหญ่ แห่พระสารีริกธาตุ พนะราชาคณะโปรยพระพุทธมนต์ และให้ผู้คนอยู่แต่ในบ้าน แต่ก็ยังมีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ศพก็พบอยู่มากมายหลายที่บางคนก็เอาไปลอยน้ำ ร้านค้าบ้านช่องเริ่มตัวผู้คนก็อพยพหนีเพราะไม่อยากคอยมาดูแลศพและคนป่วย
เมื่อโรคห่าเริ่มน้อยลงแต่ก็กลับมาระบาดหนักอีกครั้งในรัชกาลที่4 ในขณะนั้นทรงดำรงบรรชิตเป็นราชาคณะ ทรงโปรดเกล้าให้วัดที่อยู่ใกล้บริเวณประตูผีมีการเผาศพ
1.วัดสระเกศ
2.วัดบางลำพู
3.วัดตีนเลน
1.วัดสระเกศ
2.วัดบางลำพู
3.วัดตีนเลน
แต่ปริมาณศพมีจำนวนมาก ซึ่งวัดสระเกศเป็นวัดที่มีพื้นที่ลานป่าช้าขนาดใหญ่จึงมีศพไปรวมกันมากมายก่ายกอง จนต้องใข้วิธีขุดหลุมขนาดใหญ่แล้วฝังศพทีเดียวคราวละมากๆ แต่ก็ยังมีเหลือให้อีแร้งมากกันกินจนเป็นอีกชื่อที่เรียกกันว่า "แร้งวัดสระเกศ"
ต่อมาในรัชกาลที่5เมื่อโรคห่ากลับมาระบาดอีกครั้ง พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯให้ตั้งโรงพยาบาลฉุกเฉิน48แห่ง การระบาดของโรคก็ลดน้อยลง จากนั้นทรงให้ตัดถนนบำรุงเมืองกลายเป็นแยกสำราญราษฎ์ในปัจจุบัน
ในปัจจุบันประตูผีอาจไม่มีความน่ากลัวเหมือนดั่งในอดีตแล้ว แต่กลายเป็นย่านประตูผีที่มีทั้งร้านค้าสถานที่ท่องเที่ยวร้านอาหารมากมาย รอให้ผู้คนเข้าไปเยือน
อ้างอิง:http://www.cosmenet.in.th/cosme-intrend/20013/อิ่ม-อร่อย-ที่ประตูผี,http://www.manager.co.th,http://horoscope.thaiza.com,http://kamphaengphet100.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น