วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2560

คณะอักษรศาสตร์ ม.จุฬาฯ ต้นกำเนิดของคำว่า''สวัสดี''



     ไม่ว่าชาติไหนก็จะต้องมีการทักทายเมื่อพบเจอหน้ากัน สร้างความสัมพันธ์สร้างมิตรไมตรีที่ดีให้กัน ในสมัยนี้การทักทายกันก็เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย ปกติทั่วไปเราก็ใช้''สวัสดี''กันอยู่แล้วแต่ถ้าเป็นเพื่อนกันหรือสนิทกันอาจใช้''ว่าไง''หรือแล้วแต่สังคม ซึ่งมีหลายรูปแบบ


     ต้นกำเนิดของคำว่า''สวัสดี''มาจาก พระยาอุปกิตศิลปสาร(นิ่ม กาญจนาชีวะ) ซึ่งท่านได้ลองนำคำที่ว่า''โสตถิ''ที่เป็นคำในภาษาบาลีและคำว่า''สวัสติ''ที่เป็นคำในภาษาสันสกฤต

     "สวัสดี" เป็นภาษาสันสกฤต มาจากคำว่า "สุ" เป็นคำอุปสรรค (คำเติมหน้าศัพท์ที่ทำให้ความหมายของศัพท์เปลี่ยนแปลงไป) แปลว่า ดี งาม หรือ ง่าย และคำว่า "อสฺติ" เป็นคำกิริยาแปลว่า มี แผลงคำว่า "สุ" เป็น "สว" (สฺวะ) ได้โดยเอา "อุ" เป็น "โอ" เอา "โอ" เป็น "สฺว" ตามหลักไวยากรณ์ แล้วสนธิกับคำว่า "อสฺติ" เป็น "สวสฺติ" อ่านว่า สะ-วัด-ติ แปลว่า "ขอความดีความงามจงมี (แก่ท่าน) "



     พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) ได้ปรับเสียงของคำว่า "สวสฺติ" ที่ท่านได้สร้างสรรค์ขึ้นให้ง่ายต่อการออกเสียงของคนไทย จากคำสระเสียงสั้น (รัสสระ) ซึ่งเป็นคำตาย มาเป็นคำสระเสียงยาว (ทีฆสระ) ซึ่งเป็นคำเป็น ทำให้ฟังไพเราะ รื่นหูกว่า จึงกลายเป็น "สวัสดี"


     โดยในขณะนั้นท่านได้เป็นอาจารย์สอนที่ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลับจุฬาลงกรณ์ และได้ทดลองใช้ที่นั่นเป็นที่แรก ต่อมาเมื่อสมัยของ จอมพลป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้เห็นชอบให้ใช้คำว่า''สวัสดี'' เป็นคำทักทายในวันที่ 22 มกราคม 2486

     นอกจากคำว่าสวัสดีแล้วยังมีคำอื่นๆที่ใช้เรียกทักทายตามเวลาแต่หายไปเหลือเพียงไม่กี่คำ เช่น

  •      อรุณสวัสดิ์ หมายความว่า สวัสดีตอนเช้า
  •      ทิวาสวัสดิ์ หมายความว่า สวัสดีตอนบ่าย
  •      สายัณห์สวัสดิ์ หมายความว่า สวัสดีตอนเย็น
  •      ราตรีสวัสดิ์ หมายความว่า กล่าวลาในตอนกลางคืน




อ้างอิง : https://th.wikipedia.org/wiki/สวัสดี,http://talk.mthai.com/inbox/112733.html,https://my.dek-d.com,http://knowledgelanguagethai.myreadyweb.com/article/topic-40809.html

วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560

สะพานพระราม6 สะพานที่บางคนลืม




     ถ้าพูดถึง"สะพานพระราม6"เชื่อเลยว่าบางคนไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เพราะสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯส่วนใหญ่ก็เคยผ่าน แต่ถ้าสะพานพระราม6ต้องนั่งนึกกันนิดนึง ผมก็ไม่ทราบจริงๆว่าอยู่ตรงไหน จนลองหาข้อมูลดูก็ทราบเลยว่าเป็นสะพานที่มีประวัติมานาน



     สะพานพระราม6เป็นสะพานที่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เชื่อมต่อระหว่างแขวงบางซื่อ เขตบาซื่อ และแขวงบางอ้อ เขตบางพลัด กรุงเทพฯ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกของประเทศไทย สร้างเมื่อธันวาคม 2465 ในสมัยของพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ก่อสร้างโดยบริษัทเล เอตาบริดจ์มองต์ ไตเตจากประเทศฝรั่งเศษ ชนะการประมูลโดยอาศัยเรื่องของค่าเงินฟรังก์ที่มีค่าอ่อนกว่าบริษัทคู่แข่งจากอังกฤษ โดย 1 บาทแลกได้ 5 ฟรังก์ส่วนเงินปอนด์ 1 บาทแลกได้ 11 ปอนด์ จำนวนเงินที่ใช้ก่อสร้างในสมัยนั้นอยู่ที่ 2,714,113.30 บาท 


     สะพานสร้างเสร็จเมื่อ ธันวาคม 2469 ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า "สะพานพระราม6" ซึ่งหมายถึงพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 


     ทำพิธีเปิดโดยใช้ข้ามเป็นปฐมฤกษ์ โดยใช้รถจักรไอน้ำ "บอลด์วิน"ล้อแบบแปซิฟิค หมายเลข 226 ทำขบวนเสด็จ






     ต่อมาเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางกองทัพสหรัฐและอังกฤษได้ทำการทิ้งระเบิดใส่สะพานต่างๆ เพราะเป็นเส้นทางลำเลียงยุทธสัมภาระทางรถไฟของทหารญี่ปุ่น ทำให้สะพานพระราม 6 ขาดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2488 จนต้องทำการซ่อมแซมใหม่ในระหว่าง พ.ศ.2493-2496 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไปเปิดสะพานพระราม 6 หลังซ่อมแซมแล้วเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2496 โดยใช้รถจักรไฟฟ้า"ซูลเซอร์"หมายเลข562ทำขบวนเสด็จ


     ในสมัยก่อนสะพานพระราม 6 มีการเปิดให้รถยนต์และรถไฟวิ่งใช้สะพานร่วมกัน แต่หลังจากที่สร้างสะพานพระราม 7 ที่อยู่คู่ขนาดสะพานพระราม 6 การจราจรโดยรถยนต์บนสะพานพระราม 6 ก็ถูกยกเลิกแล้วทำรางรถไฟเพิ่มเป็นแบบรางคู่ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของรางคู่เชื่อม ชุมทางบางซื่อ-นครปฐม เสร็จเมื่อปี 2546 









อ้างอิง : https://th.wikipedia.org/wiki/สะพานพระราม_6,http://chaoprayanews.com/blog/happyforever/2015/01/26/“สะพานพระราม-6”-สะพานข้า,http://webboard.news.sanook.com/forum/print_4025710_เรื่องเศร้าๆ_ปนน่าสงสาร_ของสะพานพระราม_6,http://www.iseehistory.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538711165


วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2560

พระธาตุพนม ล้ม!!!!!



     เป็นเรื่องเศร้าของคนในช่วงนั้นจริงๆ พระธาตุพนมสถานที่เก็บพระอุรังคธาตุหรือกระดูกส่วนอกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อายุมากกว่า 2,000 ปี ที่อยู่คู่บ้านคู่มากมานานแต่ก็ต้องล้มลงมาจนไม่คงสภาพเดิมไว้


รอยร้าวของพระธาตุ

     ในเดือนมีนาคม 2518 เกิดแผ่นดินไหวขึ้นทำให้พระธาตุมีรอยแยกร้าวลงมาจนถึงฐานด้านล่าง  ตัวพระธาตุเริ่มเอียงจนชาวบ้านสังเกตเห็นได้ ต่อมาช่วงเดือนสิงหาคมมีฝนตกหนักตลอดและลมแรง จนในวันที่ 11 สิงหาคม 2518 พระธาตุเริ่มร้าวมากขึ้นจนอิฐหล่นลงมาเรื่อยๆ เมื่อพระธาตุเริ่มเอียงไปทางทิศตะวันออกมากขึ้นจนเมื่อเวลา 19:38น. ของวันนั้นเสียงดังสนั่นเกิดขึ้น ''พระธาตุล้มแล้ว'' 







     ศาลาการเปรียญและพระวิหารหอพระแก้วโดนพระธาตุล้มลงทับเสียหาย การทลายของพระธาตุเนื่องด้วยธาตุมีการต่อเติมยอดด้านบนทำให้มีน้ำหนักมาขึ้นจากเดิม ประกอบกับมีรอยร้าวจากแผ่นดินไหวจึงทำให้เกิดการพังลงมา



     เช้าวันที่ 12 สิงหาคม 2518 หลังจากการพังทลายของพระธาตุผู้คนที่ทราบข่าวได้เดินทางมามากมาย เพื่อมาดูพระธาตุที่เคยตั้งอยู่ แต่บัดนี้ได้พังลงมาแล้วชาวบ้านต่างเศร้าสลดใจเป็นอย่างมาก เวลาผ่านไปหลายวันผู้คนก็ยังแห่แหนกันมาอย่างไม่ขาดสาย

     ต่อมาในวันที่ 15 สิงหาคม 2518 เวลา 13:00น. ก็ได้ขุดพบพระอุรังคธาตุบรรจุอยู่ในหีบทองคำ ภายในมีการบรรจุที่ซับซ้อนมีหลายลำดับ


พระอบบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ





ผอูบบรรจุพระอุรังคธาตุ





พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบรรจุพระสารีริกธาตุ






     หลังจากนั้นรัฐบาลและประชาชนชาวไทย ได้มีการร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่และเสร็จสิ้นในวันที่ 22 มีนาคม 2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดการพระราชพิธียกฉัตร และได้เสร็จดำเนินไปพระราชพิธีเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นบรรจุในองค์พระธาตุพนม ในวันที่ 23 มีนาคม 2522 ที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร


อ้างอิง : https://th.wikipedia.org/wiki/วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร,http://www.watpamahachai.net

วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ระเบิดชุมชนคลองเตย








     ชุมชนคลองเตยเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ผู้คนส่วนมากอยู่กันอย่างแออัดในพื้นที่จำกัด และมีเหตุการณ์ที่ชาวคลองเตยลืมไม่ลงกับเหตุเพลิงใหม้ครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2534 เหตุการณ์ที่มีคนเสียชีวิต บาดเจ็บ แต่ที่โชคร้ายกว่านั้นคือคนที่อยู่ภายในชุมชนรวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปช่วยดับเพลิงในวันนั้น ต่างก็มีอาการป่วยตามมาเพราะสิ่งที่เป็นต้นเพลิงคือสารเคมีที่มีจำนวนมากและส่งผลต่อร่ายการโดยผ่านระบบทางเดินหายใจ

     สถานที่เกิดเหตุคือท่าเรือคลองเตย มีการเก็บสารเคมีหลายชนิดไว้ภายในโกดังซึ่งสาเหตุของเพลิงใหม้อาจเกิดจากความร้อนภายในบริเวณจัดเก็บ โกดัง 3 ในจำนวน 5 โกดังถูกเผาใหม้จนไม่เหลือเพลิงใหม้ลุกลามติดต่อกันเป็นเวลากว่า 3 วัน รถดับเพลิงกว่า 100 คัน รวบรวมจากหลายพื้นที่ใน กทม. ทำการฉีดน้ำเข้าเพื่อดับไฟแต่ไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ อาจด้วยเพราะต้นเพลิงเป็นสารเคมีหลายชนิดการใช้น้ำดับอาจไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง แต่ต้องยอมรับว่าการท่าเรือเองก็ไม่มีแผนที่จะรับมือเหตุนี้ไว้เลย สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือระดมรถดับเพลิงและฉีดน้ำเท่านั้น

     ท้องฟ้าในช่วงบ่ายนั้นต้องมืดไปด้วยควันจากสารเคมีที่ลุกใหม้ แรงระเบิดของสารเคมีจากโกดังกะเด็นเป็นดาวตกไปใส่ชุมชนคลองเตย ผู้คนวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด บ้านในชุมชนแต่ละหลังเป็นบ้านไม้ทั้งหมดทำให้เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี บ้านเรือนจำนวน 642 หลังคาเรือนโดนเผาจนไม่เหลือสภาพเดิม

     เวลาผ่านไปกว่า 3 วันเพลิงก็มีทีท่าจะลดลง แต่สิ่งที่ตามมาคือกลิ่นจากสารเคมีที่เผาใหม้ไปสร้างผลร้ายกับคนในบริเวณนั้น เมื่อควบคุมเพลิงได้แล้วพบว่ามีผู้เสียชีวิตทั้นที่ 4 คน บาดเจ็บ 30 คนในจำนวนนั้นเป็นตำรวจดับเพลิงกว่า16คน และมีผู้ได้รับผลกระทบจากสารพิษ 1,700 คน ผู้ไร้บ้านกว่า 5,000 คน ที่น่าเศร้าใจคือหญิงมีครรภ์จำนวน 499 คนมีปัญหาคือลูกไม่ดิ้นและมี 5 คนในจำนวนนั้นที่ลูกเสียชีวิตภายในครรภ์

     ปัญหาหลังจากที่เหตุการณ์เพลิงสงบลงคือสารเคมีที่กระจายไปทั่วบริเวณนั้น มีหลายชนิดรวมกันแต่มีอยู่ 2 ชนิดที่ส่งผลกับร่างกายมากที่สุดคือ พาราฟอร์มัลดีไฮด์(เป็นรูปแบบหนึ่งของฟอร์มาลีน),เมทิลโปรไมด์(เป็นยาฆ่าแมลง) สารทั้งสองมีผลทำให้เกิดการระคายเคืองถ้าโดนตาก็จะมีน้ำตาไหลออกมาตลอด และทำให้หายใจลำบากเพราะหลอดลมจะตีบลงเหมือนรู้สึกหายใจไม่ออก ส่วนเมทิลโปรไมด์มีผลเพิ่มขึ้นมาในระบบประสาททำให้เกิดอาการมือสั่นและชา เวียนศรีษะ อาเจียน และส่งผลระยะยาวตือร่างการอีกทั้งสามารถก่อให้เกิดมะเร็ง

เหตุการณ์ไฟใหม้ที่ท่าเรือคลองเตยไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นซ้ำซากในระยะเวลาตลอด 5 ปี


  •      23 เมษายน 2532 ไฟใหม้สารที่ใช้ทำยาฆ่าแมลง มีผู้ได้รับพิษจากสารเคมี 531 คน
  •      8 มกราคม 2534 ไฟใหม้บริเวณเก็บถังกรดไนติก 
  •      2 มีนาคม 2534 เกิดเพลิงใหม้ครั้งใหญ่ที่สุด
  •      20 เมษายน 2536 เกิดเหตุเพลิงใหม้สารเคมีจำนวน 4 ชนิด มีผู้ได้รับพิษจากสารเคมีจำนวน 79 คน

     ในระยะเวลาตลอดที่มีเหตุการณ์เพลิงใหม้เกิดขึ้น ชาวบ้านต้องอยู่กันแบบหวาดกลัว ทางด้านการท่าเรือแห่งประเทศไทยในฐานะที่เป็นเจ้าของโกดังก็แสดงความรับผิดชอบ ด้วยการช่วยเหลือครอบครัวที่ยากไร้ต่าง ๆ พร้อมจัดหาที่พักพิงและจ่ายเงินสงเคราะห์ให้กับครอบครัวผู้เสียหาย 1,000 บาทต่อครอบครัวและค่าทำศพ20,000 บาทต่อศพ

     เมื่อการชดเชยผู้เสียหายเห็นว่าไม่คุ้มค่าจึงเกิดการฟ้องร้องกันเกิดขึ้น แต่ไม่มีการฟ้องร้องเพราะทางการท่าเรือขอเจรจาชดใช้ค่าเสียหายเอง โดยจ่ายให้ครอบครัว 10,000-20,000 บาทต่อเดือน แต่จนถึงปัจจุบันคนที่โดนพิษจากสารเคมีก็ยังคงมีอาการป่วยและต้องรักษาตัวเสมอ ค่าชดเชยจึงเรียกได้ว่าไม่คุ้มค่า

     หลังจากนั้นรัฐบาลก็มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการเก็บรักษาใหม่ โดยเอาสารเคมีไปทำลายในพื้นที่ของทหารแถวกาญจนบุรี และมีมาตรการแยกประเภทของสารเคมี พร้อมทั้งแยกประเภทของสารเคมีก่อนการจัดเก็บส่วนสารเคมีที่อันตรายมากก็เอาไปเก็บไว้ที่ท่าเรือแหลมชบัง ถ้ามีการขนย้ายก็ไปใช้พานิชนาวีท่าเรือของทหารเรือ

     ถ้ามาตรการที่ใช้มีขึ้นเร็วกว่านี้ตั้งแต่ตอนเริ่มแนวคิดการใช้ประเทศไทยเป็นที่จัดเก็บสารเคมีจากประเทศอื่นๆ  รวมทั้งวิธีการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับสารเคมีจากหมอผู้เชี่ยวชาญให้การรักษาแบบตรงตามความสามารถ ความเสียหายอาจจะไม่มากขนาดนี้



อ้างอิง : https://www.youtube.com/channel/UCrFDdD-EE05N7gjwZho2wqw

วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ชัช อุบลจินดา คนดีเมืองกระบี่


 
      กระบี่เมืองท่องเที่ยวที่สวยงาม หลายๆคนที่เคยไปอิ่มเอมในความงามของทะเลจนจดจำไม่ลืม เช่นเดียวกับ ชัช อุบลจินดา ที่หลายคนได้ยินชื่อนี้จะต้องร้อง ออ เพราะได้สร้างเรื่องราวดีๆไว้โดยตัวเองไม่ได้หวังอะไรเลย แต่ผลที่ได้ตามมาทำให้ครอบครัว"อุบลจินดา"ต้องภูมิใจและได้รับการยกย่อง




     ในวันที่ 16 ตุลาคม 2558 บริเวณริมเขื่อนปากน้ำกระบี่ ชาวต่างชาติ2คนลงไปถ่ายรูปบริเวณริมเขื่อน แถวนั้นมีโคลนอยู่และลึกมาก ทั้งสองติดอยู่ไม่สามารถเดินออกมาได้จะขอความช่วยเหลือก็ไม่มีคนเห็น จนเมื่อมีเรือหาปลาลำนึงแล่นเข้ามาและมีชายรูปร่างเล็กเดินลุยโคลนมายังจุดที่ชาวต่างชาติติดอยู่ พอเดินมาถึงเขาก็ลองดึงทั้งสองคนขั้นมา แต่ดึงไม่ขึ้นทั้งโคลนที่ลึกและชาวต่างชาติที่ตัวใหญ่กว่าเขามาก เขาจึงเอากระเป๋าของชาวต่างชาติมาเก็บที่ด้านบนจากนั้นเขาเดินกลับไป เขาจึงตัดสินใจทำตัวเขาเองเป็นกระดานนอนราบลงไปกับพื้น ชาวต่างชาติเลยเหยียบเขาขึ้นมาอย่างทุลักทุเล แต่ก็ทำสำเร็จ



     เหตุการณ์ทั้งหมดมีการบันทึกไว้จากผู้พบเห็น โดยนายชัช ก็ไม่ทราบว่ามีคนบันทึก และสุดท้ายเมื่อการช่วยเหลือสำเร็จแล้วเขาเดินกลับไปที่เรือในสภาพที่มีแต่โคลนเพื่อไปหาปลาต่อ โดยไม่ได้ขอสิ่งตอบแทนใดๆเลย เป็นการช่วยที่ผมคิดว่า ''ไม่หวังสิ่งตอบแทนโดยแท้''ครับ



     เหมือนฟ้ามีตาหลังจากวันนั้นไม่นาน ชาวต่างชาติที่เขาช่วยขึ้นมาพยายามหาฮีโร่ อีกทั้งหน่วยงานต่างๆเข้ามายื่นชมตอบแทนและให้ความช่วยเหลือมากมาย วันนั้นเกิดภาพประทับใจและความภูมิใจในบ้านของนายชัช อุบลจินดา 



     นายกเทศมนตรีเมืองกระบี่ได้มอบเงินและบัตรพี่พักในโรงแรมดังๆในกระบี่เป็นค่าตอบแทน  อีกทั้งนายกรัฐมนตรี นาประยุทธ จันโอชา ยังกล่าวยกย่องนายชัช อุบลจินดามาด้วย



     ผลของความดียังตอบแทนไม่หยุด กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามอบโล่เกียรติคุณ''The Pride of Thailand''โดยทำประโยชน์และน่ายกย่องควรเอาเยี่ยงอย่าง 



     ต่อมานายชัช ได้เข้ารับ เสื้อคนดีที่เรายกย่องพร้อมด้วยหมวกและดิ่งประทาน จากโครงการพระราชดำริพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และที่น่าภูมิใจมากๆอีกอย่างได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ปี2558

     ''ความดีเป็นสิ่งไม่ตาย ไม่จำเป็นว่าทำดีต้องได้สิ่งตอบแทน แค่ทำเราสุขใจถึงไม่ได้อะไรก็คุ้มค่าที่ได้ทำ''



อ้างอิง,https://news.mthai.com/general-news/465881.html,http://trs995.com/trs-news-detail.php?cid=2&id=200,http://m.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1445234989,https://hilight.kapook.com/view/127886,http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000117460&Html=1&TabID=1&,http://www.posttoday.com/social/general/403378     

วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2560

โรงเรียนพิทักษ์เกียรติวิทยา จากวันที่มืดมิดสู่ความสดใสอีกครั้ง





     โรงเรียนพิทักษ์เกียรติวิทยาเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ตั้งอยู่ตำบลเวียง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ในอดีตตั้งพบกับเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากจดจำและเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้โรงเรียนต้องพบกับอุปสรรคครั้งใหญ่เลยก็ว่าได้



     ในคืนวันที่ 22 พฤษภาคม 2559 ภายในหอพักนักเรียนหญิงที่เด็กกำลังนอนพักผ่อนบนชั้นสองอยู่นั้น ได้เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นจากชั้นล่างของอาคาร โดยเป็นลานใช้ทำกิจกรรมคาดว่าน่าจะมาจากกองเสื้อผ้าที่นำมาบริจาค และผ้าก็เป็นเชื้อเพลิงอย่างดีประกอบกับตัวอาคารมีลักษณะครึ่งปูนครึ่งไม้ พื้นชั้นสองและเตียงก็เป็นไม้เช่นกันทำให้ไฟลุกลามไปได้อย่างรวดเร็ว เด็กนักเรียนที่ได้กลิ่นควันพยายามหนีเอาชีวิตรอด โดยการมัดผ้าที่ขอบหน้าต่างลงมาที่ด้านล่าง แต่ก็มีนักเรียนอีกจำนวนนึงที่หนีไม่ทันทำให้ต้องเสียชีวิตอยู่ด้านใน 



     ตัวไฟลุกลามสร้างความเสียหายทั้งอาคาร รถดับเพลิงต้องใช้ความพยายามในการเข้ามาในพื้นที่เพราะทางเข้ามีพื้นที่แคบใช้เวลาควบคุมเพลิงถึง3ชั่วโมง เมื่อเพลิงสงบลงพบเด็กเสียชีวิตถึง 17 คน หายสาบสูญอีก 1 คน และบาดเจ็บสาหัสอีก 5 คน 




     นายสว่าง ม่อนดี หัวหน้างานป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัยจังหวัดเชียงราย บอกว่าเด็กที่เสียชีวิตทั้งหมด 17 คน เป็นเด็กอายุ 5-12ปี ส่วนสาเหตุที่เด็กออกมาข้างนอกไม่ได้ คาดว่ามีการล็อคจากด้านนอก



     โชคร้ายวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ผู้ใหญ่ที่คอยดูแลเด็กมีจำนวนไม่เท่าวันธรรมดาจึงอาจเป็นอีกสาเหตุที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตถึงขนาดนี้ เพราะอย่างน้อยถ้ามีผู้ใหญ่อยู่หลายคนการตัดสินใจอาจจะทำให้การสูญเสียน้อยกว่านี้ก็ได้




    หลังจากวันนั้นโรงเรียนก็ต้องทำหน้าที่เปิดสอนเช่นเดิม แต่จำนวนนักเรียนก็น้อยลงไปมากทั้งย้ายโรงเรียนและบาดเจ็บต้องรักษาตัว เหลือเพียงคนที่บ้านอยู่ใกล้ๆก็มาเรียนตามปกติหลังจากที่ครบกำหนดสั่งปิดโรงเรียน  ในวันแรกของการเปิดเรียนเป็นเรื่องยากที่จะทำใจ ผู้คนจำนวนมากยื่นมาเข้ามาให้คนช่วยเหลือ ไม่มีการเรียนการสอนครูและนักจิตวิทยาต้องให้นักเรียนมารวมตัวกันพร้อมพูดคุย มีการบรรเลงเพลงเพื่อลอความหวาดระแวงของเด็ก ๆ








                     
     ปัจจุบันโรงเรียนกลับมาสดใสอีกครั้งภาพในอดีตหายไปแล้ว เหลือเพียงความระลึกถึง เด็กน้อยได้มีโรงเรียนของเขาและครูที่พร้อมสอนให้เป็นคนดี หวังว่าเหตุการณ์วันนั้นจะเป็นบทเรียนให้ทางโรงเรียนนี้หรือทุกโรงเรียนใส่ใจความปลอดภัยของเด็ก และไม่มีครั้งที่สองอีกต่อไป


อ้างอิง : https://hilight.kapook.com/view/137059,https://www.facebook.com/profile.php?id=100002993539960

วันอังคารที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เรือนจำบางขวาง จุดสิ้นสุดลมหายใจสุดท้าย



     เรือนจำที่คุมขังนักโทษมีทั่วประเทศ แต่ที่บางขวางต่างจากที่อื่นๆคือคุมขังนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ จำโทษตั้งแต่ 15ปีขึ้นไปจนถึงโทษประหารชีวิต และก็เป็นสถานที่เดียวที่มีการใช้ประหารชีวิตนักโทษ  ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 117 หมู่3 ตำบลสวนใหญ่ อ.เมืองนนทุบรี จ.นนทบุรี อยู่ติดกับวัดแพรกใต้

     ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2476 มีเนื้อที่136ไร่ กำแพงสูง6เมตรรั้วเป็นไฟฟ้าแรงสูง มีหอคอยพร้อมคนแม่นปืน 24 ชั่วโมง ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการประหารชีวิตจากการตัดคอมาเป็นยิงเป้าเมื่อพ.ศ.2478 เลือนจำแห่งนี้ก็ใช้เป็นที่ประหารชีวิตตั้งแต่นั้นมา มีนักโทษประหารโดยการยิงเป้าไปแล้ว 319 ราย แบ่งเป็นนักโทษชาย 316 ราย และนักโทษหญิง 3 ราย ปัจจุบันเปลี่ยนการประหารจากการยิงเป้ามาเป็นฉีดยาพิษเข้าสู่ร่างกาย ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฏหมายอาญามาตรา 19 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2546 นักโทษคนสุดท้ายที่ถูกยิงเป้าคือ น.ชสุดใจ นักโทษคดีฆ่าคนตายและพระราชบัญญัติอาวุธปืน ถูกประหารเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2545 โดยมีนายเชาวเรศน์ จารุบุณย์เป็นเพรชฆาตคนสุดท้าย




     การประหารแบบยิงเป้านักโทษเมื่อเข้าสู่แดนประหารจะต้องมีผ้าขาวปิดตา และนำร่างมาที่ตรึงกับหลักประหารโดยตำแหน่งหัวใจจะตรงกับจุดดำบนม่านเพื่อให้ตรงตำแหน่งของกระสุน เมื่อเสร็จสิ้นการประหารศพจะถูกนำไปเก็บไว้ในห้องหบังม่านกั้นเป็นเวลา 24 ชั่วโมงก่อนญาติมารับกลับไป



     มีการประหารโดยการฉีดยาพิษไปแล้วทั้งหมด 6 ราย มีคดียาเสพติดและคดีฆ่าคนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อีกสาเหตุของการเปลี่ยนจากการยิงเป้ามาเป็นการฉีดยาพิษเพราะการยิงเป้าดูทารุณและโหดร้าย ในการฉีดยาพิษมีต้นทุนที่ไม่เกินครั้งละ100-200บาท

     ก่อนการประหารผู้คุมจะให้ทำสิ่งสุดท้ายก่อนคือ


  •      เขียนจดหมาย 
  •      เขียนพินัยกรรม 
  •      รับฟังการอ่านฏีกา
  •      รับประทานอาหารมื้อสุดท้าย
  •      ฟังธรรมเทศนา

     ขั้นตอนการการฉีดยาพิษมี 3 ขั้นตอน


  •      การฉีดโซเดียมเพนโทธาลจำนวน 5 เข็ม ทำให้หมดสติ
  •      เพ็นคูโลเนียมโนมาย จำนวน 25 เข็ม ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและหัวใจหยุดทำงานแต่ยังไม่เสียชีวิต
  •      โปแตสเซียม คลอราย จำนวน 3 เข็มทำให้หัวใจหยุดเต็น
     ขั้นตอนการฉีดยาจะมีเจ้าหน้าที่คอยกดปุ่มฉีดยาทั้งหมด 3 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 จะไม่รู้เลยว่าคนไหนเป็นคนที่ฉีดยาพิษ

     และนี้คือบทลงโทษของผู้กระทำความผิด และเป็นความจริงที่น่าเศร้าแต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลของการกระทำที่ได้ก่อขึ้นได้ ยังไงแล้วถึงจะมีลทลงโทษที่ชัดเจนแบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้การกระทำความผิดลดน้อยหรือหายไปเลย นับวันยิ่งมีหลายรูปแบบมากขึ้นเรื่อยๆ คงจะดีถ้าจิตสำนึกของคนเรามีพอที่จะเห็นผิดชอบชั่วดีก่อนที่จะลงมือทำอะไรต่าง ๆ บทลงโทษนี้อาจไม่จำเป็นอีกเลยก็ได้
   


สถานที่ตั้งเรือนจำบางขวาง




อ้างอิง : https://th.wikipedia.org/wiki/เรือนจำกลางบางขวาง,http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9480000008602,http://www.tnews.co.th/contents/193973,http://siameagle.com/topic-100/ขั้นตอนและวิธีการประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า

   

วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2560

วังมัจฉา ใจกลาง กรุงเทพฯ


     วังมัจฉาคือสถานที่มีปลาอยู่เยอะมากมาย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่หลายๆจังหวัดมี ไปที่ไหนถ้าอยากให้อาหารไปปลาก็ไปที่วังมัจฉาก็สามารถให้อาหารปลาได้ แต่ถ้าเป็นวังมัจฉาที่อยู่ใจกลางกรุงเทพฯและอยู่ในเขตพระนคร ก็เป็นที่"นิวเวิลด์"ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเป็นห้างเดิมแต่กลายมาเป็นวังมัจฉาแบบไม่ได้ตั้งใจ






     เดิมที่ห้างที่ชื่อว่า"นิวเวิลด์"เป็นห้างชื่อดังที่อยู่บริเวณแยกบางลำพูในสมัยก่อน เป็นห้างที่เริ่มต้นอนุญาตสร้างเมื่อ 2526 โดยบริษัทแก้วฟ้าช็อปปิ้งอาเขต จำกัด เจ้าของคือ"แก้ว ผูกทวนทอง" ซึ่งห้างตอนเปิดใหม่ๆเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว อีกทั้งมีลิฟท์แก้วอยู่บริเวณหน้าห้างในสมัยนั้นเป็นที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก

     ต่อมาในปี 2527 ทางห้างขออนุาตต่อเติมกับทาง กทม. แต่ไม่ได้รับอนุญาตแต่อย่างใด ซึ่งทางห้างก็ไม่ได้สนใจทำการต่อเติมไปเรื่อยๆ จากเดิมที่มีอยู่แค่4ชั้นได้ทำการต่อเติมไปจนถึงชั้น11 จนโดนทาง กทม.ฟ้องร้องต่อศาลเพราะผิด พระราชบัญญัติคุ้มครองอาคารและพรบ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522

     แต่มีการต่อสู้กันจนสุดท้ายเมื่อเรื่องสิ้นสุดทางห้างก็ยังยืนยันว่าจะลื้อถอนเอง แต่การลื้อถอนเป็นแย่างล้าช้าและการลื้อถอนชั้น5ถึงชั้น11 ที่มีการทำงานอยู่ ชั้นที่ 1ถึงชั้นที่4ยังมีการเปิดให้เช่าขายของเหมือนเดิม สิ่งที่ไม่คาดฝันจึงเกิดขึ้น

     วันที่ 2 มิถุนายน 2547 ในช่วงที่ห้างเปิด ผู้คนการมาช็อปปิ้งเดินเล่นกันตามปกติ แต่ระหว่างการลื้อถอนชั้น 5-11 นั้นมีการเอาเศษวัสดุที่ทำการลื้อถอนแล้วมารวมกันไว้ที่ชั้น8 เมื่อลื้อมากขึ้นเศษวัสดุมากขึ้นจนทำให้น้ำหนักที่ชั้นนั้นได้รับมีมากจนเกินรับไหว โศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าก็เกิดขึ้นเศษวัสุดก็หล่นลงข้างล่างทำให้ผู้คนที่เดินช็อบปิ้งอยู่ในบริเวณนั้นได้รับผลกระทบ

     ผู้คนวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเมื่อทั้งเจ้าของร้านและลูกค้า เสียงร้องดังออกจากห้างและผู้คนที่หนีเอาตัวรอดวิ่งออกจากห้างกันไป หลังจากนั้นสิ่งที่พบคือมีผู้บาดเจ็บทั้งหมด 7 รายและบาดเจ็บสาหัสอีก 2 รายมีอาการขาหัก กระโหลกศีรษะเปิดออก ต่อมาทราบว่า น.ส.สุดานันท์ จันทร์ทอง ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากจนเสียชีวิตในที่สุด

     ต่อมาห้างได้สั่งปิดจากเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ เมื่อฝนตกลงมาบริเวณชั้น1ของอาคารก็เป็นพิ้นที่รับน้ำได้เป็นอย่างดี และนั้นก็ทำให้เกิดเป็นปัญหายุงเยอะเพราะมีที่ให้ยุงสามารถวางไข่ได้สะดวก จนชาวบ้านแถวนั้นทนไม่ไหวพากันเอาปลาไปปล่อยเพื่อให้กินลูกน้ำ จนต่อมาปลาได้แพร่ขยายพันธ์ุกันเป็นจำนวนมากทำให้สถานที่นี้น่าสนใจขึ้นมาทันที จนกลายเป็นสถานที่คนที่มาเที่ยว กทมฯ ต้องมาให้อาหารปลากันที่นี้











     ต่อมาเมื่อคนมาให้อาหารปลากันเยอะมาก ทางกทมฯก็เป็นห่วงในเรื่องของโครงสร้างของอาคารที่ไม่แข็งแรง เพราะถ้าคนมาเยอะต้องรับน้ำหนักมากขึ้น เรื่องที่ไม่คาดฝันอาจจะเกิดขึ้นก็ได้ ทางสำนักงานเขตพระนครจึงตัดสินใจปิดพื้นที่อย่างถาวรในวันที่ 30 มิถุนายน 2557 และขอให้ทางกรมประมงมาจับปลาไปปล่อยสู่แห่งน้ำธรรมชาติต่อไป
    


อ้างอิง : http://slide.news.sina.com.cn/w/slide_1_2841_114876.html#p=9,https://board.postjung.com/1034734.html