ไม่ว่าชาติไหนก็จะต้องมีการทักทายเมื่อพบเจอหน้ากัน สร้างความสัมพันธ์สร้างมิตรไมตรีที่ดีให้กัน ในสมัยนี้การทักทายกันก็เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย ปกติทั่วไปเราก็ใช้''สวัสดี''กันอยู่แล้วแต่ถ้าเป็นเพื่อนกันหรือสนิทกันอาจใช้''ว่าไง''หรือแล้วแต่สังคม ซึ่งมีหลายรูปแบบ
ต้นกำเนิดของคำว่า''สวัสดี''มาจาก พระยาอุปกิตศิลปสาร(นิ่ม กาญจนาชีวะ) ซึ่งท่านได้ลองนำคำที่ว่า''โสตถิ''ที่เป็นคำในภาษาบาลีและคำว่า''สวัสติ''ที่เป็นคำในภาษาสันสกฤต
"สวัสดี" เป็นภาษาสันสกฤต มาจากคำว่า "สุ" เป็นคำอุปสรรค (คำเติมหน้าศัพท์ที่ทำให้ความหมายของศัพท์เปลี่ยนแปลงไป) แปลว่า ดี งาม หรือ ง่าย และคำว่า "อสฺติ" เป็นคำกิริยาแปลว่า มี แผลงคำว่า "สุ" เป็น "สว" (สฺวะ) ได้โดยเอา "อุ" เป็น "โอ" เอา "โอ" เป็น "สฺว" ตามหลักไวยากรณ์ แล้วสนธิกับคำว่า "อสฺติ" เป็น "สวสฺติ" อ่านว่า สะ-วัด-ติ แปลว่า "ขอความดีความงามจงมี (แก่ท่าน) "
พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) ได้ปรับเสียงของคำว่า "สวสฺติ" ที่ท่านได้สร้างสรรค์ขึ้นให้ง่ายต่อการออกเสียงของคนไทย จากคำสระเสียงสั้น (รัสสระ) ซึ่งเป็นคำตาย มาเป็นคำสระเสียงยาว (ทีฆสระ) ซึ่งเป็นคำเป็น ทำให้ฟังไพเราะ รื่นหูกว่า จึงกลายเป็น "สวัสดี"
โดยในขณะนั้นท่านได้เป็นอาจารย์สอนที่ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลับจุฬาลงกรณ์ และได้ทดลองใช้ที่นั่นเป็นที่แรก ต่อมาเมื่อสมัยของ จอมพลป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้เห็นชอบให้ใช้คำว่า''สวัสดี'' เป็นคำทักทายในวันที่ 22 มกราคม 2486
นอกจากคำว่าสวัสดีแล้วยังมีคำอื่นๆที่ใช้เรียกทักทายตามเวลาแต่หายไปเหลือเพียงไม่กี่คำ เช่น
- อรุณสวัสดิ์ หมายความว่า สวัสดีตอนเช้า
- ทิวาสวัสดิ์ หมายความว่า สวัสดีตอนบ่าย
- สายัณห์สวัสดิ์ หมายความว่า สวัสดีตอนเย็น
- ราตรีสวัสดิ์ หมายความว่า กล่าวลาในตอนกลางคืน
อ้างอิง : https://th.wikipedia.org/wiki/สวัสดี,http://talk.mthai.com/inbox/112733.html,https://my.dek-d.com,http://knowledgelanguagethai.myreadyweb.com/article/topic-40809.html